“ จังหวัดชุมพร ”
ชีวิตริมคลอง กินปู ดูปลา หาหอย เที่ยวเล ชุมชนปะทิว (บางสน)
เก็บกระเป๋าไปชุมพร… บอกเลยว่าเวลาที่ได้แพ็คกระเป๋าเพื่อไปชุมพร หัวใจผมมันจะลิงโลดเป็นพิเศษ ไม่รู้เหตุผลแน่ชัดเหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะจังหวัดริมทะเลอ่าวไทย ที่ ททท. มอบฉายาให้ว่า หาดทรายสวย 400 ลี้ ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งก็ได้ล่ะมั้ง
และครั้งนี้ก็เช่นกัน… ผมจะเล่าให้ฟัง
กลางเดือนสิงหาหน้าฝน มีโอกาสร่วมกิจกรรม อส.Social / One Night Stay With Locals ของ ททท. ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยได้รับโจทย์ที่ชุมชนการท่องเที่ยวปะทิว (บางสน) จังหวัดชุมพร นั่นไง
เที่ยวกับชุมชนง่าย ๆ ไม่ต้องวางแผนนาน ติดต่อชุมชนคอนเฟิร์มวันเสร็จสรรพก็เดินทางกันเลย รวมตัวกันได้สามชีวิต ขับรถจากเมืองกรุงมุ่งลงใต้สู่ดินแดนหาดทรายสวย 400 ลี้ ไม่ไกลเท่าไหร่หรอกครับ เพราะอำเภอปะทิวก็เลยจากประจวบคีรีขันธ์ไม่กี่สิบกิโล
ยินดีต้อนรับ บ้านไม้ชายคลอง
“สวัสดีครับ เชิญเลย ๆ” จ๊อด หนึ่งในทีมงานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนบางสน อำเภอปะทิว ทักทายพวกเราทั้งสามคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงโฮมสเตย์บ้านไม้ชายคลอง พร้อมบอกให้กุ้ง คู่ชีวิตของเขานำน้ำเย็นฉ่ำมาเสิร์ฟคลายร้อน
ลมเย็นพัดสบายที่บ้านไม้ชายคลองบางสน ฝั่งตรงข้ามคลองเป็นป่าจากเขียวจี ทอดสายตาไปตามลำคลองจะเห็นป่าชายเลนปกคลุมตลอดทั้งแนว สงบสุขเรียบง่ายเสียจนทำให้ต้องหลงรักตั้งแต่แรกพบ เปลญวน ชิงช้า โต๊ะทานอาหารแบบห้อยขา บรรยากาศชวนให้เกลือกกลิ้งหลับคาเคลิ้มโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
แต่ก่อนจะเคลิ้มหลับจริง ๆ กลับโดนปลุก… ด้วยอาหารกลางวันชุดใหญ่จัดเต็ม
มื้อแรกของเราที่บ้านบางสน ทอดมันปลาสาก ห่อหมกปลาสาก ต้มส้มปลาโฉมงาม น้ำพริกกะปิกับผักจัดเต็ม มีเครื่องดื่มเป็นน้ำมะพร้าว ของหวานเป็นลูกสดจากที่จ๊อดผ่าให้เรากิน ทุกสิ่งคือของที่หาได้จากชุมชนทั้งนั้น
ที่บ้านมีอะไรก็กินอย่างนั้น – อย่าได้ดูแคลนคำนี้เชียว เพราะสำหรับชาวบางสน ความอุดมสมบูรณ์ทำให้ที่นี่ไม่เคยขาดของกิน
ลุยโคลนหาหอยพู่กัน
หลังนอนผึ่งพุงย่อยอาหารมื้อกลางวันแสนอร่อยไม่นาน จ๊อดชวนเราสามคนนั่งเรือไปหาหอยพู่กัน เขาบอกว่าวันนี้ระดับน้ำต่ำเหมาะกับการทำกิจกรรมสนุก ๆ แบบนี้ แน่นอนว่าเราไม่มีทางปฏิเสธ
พวกเราพากันขึ้นเรือหางขนาดย่อม มีพี่พนาอีกหนึ่งทีมงานของชุมชนเป็นนายท้ายบังคับเรือ เสียงเครื่องกระหึ่มแล่นตามลำคลองที่สองข้างทางเขียวขจี เมื่อใกล้ถึงที่หมาย พี่พนาปัดหางเสือพาเรือเลี้ยวลอดผ่านอุโมงค์ต้นจากไปจอดสนิทอยู่ริมชายป่า
ก้าวแรกที่ย่ำลงบนพื้นโคลน วูบลงลึกครึ่งแข้ง (ฮา…)
ลุยโคลนเข้าป่าจาก จ๊อดสาธิตวิธีการหาหอยพู่กันซึ่งมักฝังตัวตื้น ๆ บริเวณโคนต้นจากด้วยการเอามีดไล่กรีดพื้นโคลนบาง ๆ เป็นแนวยาวทีละแถวไปเรื่อย ๆ หากเจอหอยมีดจะกระทบเปลือกหอยเกิดเสียงแครก ๆ ด้วยวิธีง่าย ๆ แบบนี้พวกเราไล่เก็บหอยพู่กันได้พอสมควรเลยล่ะ
“ถ้าเจอตัวหนึ่งก็มักเจออีกตัวสองตัวใกล้ ๆ เหมือนมันอยู่ด้วยกัน บางคนก็เรียกหอยคู่กัน แล้วมาเป็นหอยพูกัน หอยพู่กัน” จ๊อดอธิบาย
เรานั่งเรือกลับพร้อมหอยพู่กันจำนวนหนึ่ง เอาไปทำอาหารได้หลากหลายทั้งผัดกะเพรา ผัดฉ่า ลวกจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด ฯลฯ ออกเรือแป๊บเดียวก็มีของกิน นี่ไงล่ะความหมายของคำว่ามีอะไรก็กินอย่างนั้นของคนบางสน
ถ้ำพิสดาร… ไม่พิสดารแต่สวย
“ถ้าจะพาเที่ยวถ้ำ สนใจหรือเปล่าครับ” จ๊อดถามขึ้นเมื่อเรากลับไปถึงบ้านไม้ชายคลอง “เมื่อก่อนคนไปเยอะแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเที่ยว ผมอยากให้คนรู้จักเพิ่มขึ้น นี่ยังไม่เคยพาใครไปเลยเหมือนกัน”
เจ้าถิ่นนำเสนออย่างนี้ มีหรือที่เราจะไม่สนอง
จ๊อดพาเราขึ้นรถกระบะสภาพบ่งบอกถึงความสมบุกสมบันเลาะเลี้ยวไปตามซอกซอย ผ่านสวนผลไม้ของเขาด้วย จนถึงสำนักสงฆ์ถ้ำพิสดาร อยู่ไม่ไกลจากวนอุทยานน้ำตกกะเปาะ
ถ้ำพิสดารแท้จริงไม่มีอะไรพิสดาร มีแต่ความสวยมากต่างหาก ทางเดินขึ้นถ้ำที่ดูเหมือนจะทำให้เหนื่อยจริง ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ เดินชันพอประมาณแต่ยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร พักสักทีสองทีก็ถึง นอกจากนี้บันไดทางเดินยังจัดทำอย่างดี ฤดูฝนแบบนี้รอบด้านคือสีเขียว ตะไคร่ มอส เฟิร์น จับจองพื้นที่แทบทุกสัดส่วน เขียวจนไม่มีอะไรสีเขียวได้เท่านี้อีกแล้ว
ในถ้ำมีไฟฟ้าบางส่วน แต่ถ้าพกไฟฉายไปด้วยก็จะดีมาก ถ้ำค่อนข้างใหญ่แบ่งเป็นสี่ห้าห้อง แต่ละห้องหินงอกหินย้อยและเสาหินอลังการงานสร้าง สวยจนน่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ผมบอกจ๊อดว่ามีของดีแบบนี้ต้องพานักท่องเที่ยวมาบ่อย ๆ ใครมาก็ต้องชอบเชื่อเถอะ
ชมความสวยงามของถ้ำถึงสักห้าโมงเย็น จ๊อดบอกว่าได้เวลากลับบ้านไม้ชายคลองแล้ว วันนี้ฝนไม่ตก เราน่าจะออกไปนั่งแพได้… หมายถึงนั่งแพไปตามลำคลองออกสู่ทะเล พร้อมดินเนอร์มื้อเย็นยังไงล่ะ
ดินเนอร์บนเรือแพ
หลังจัดแจงอาหารเย็นที่อัดแน่นไปด้วยซีฟู้ด ปูม้า กุ้งเผา ปลาจะระเม็ดทอด หมึกทอดกระเทียม แกงส้มปลากระบอก และทอดมันหัวปลี พี่พนาก็รับบทคนขับเรือหางพาแพที่สร้างไว้สำหรับนั่งทานอาหารโดยเฉพาะแล่นไปตามคลองสน ฝนตกพรำ ๆ เล็กน้อยแต่ไม่เป็นปัญหาอะไร
ทิวทัศน์สองฝั่งเปลี่ยนจากป่าชายเลนเป็นชุมชนชาวประมง ลอดใต้สะพานคอนกรีต แล้วออกสู่ชายหาดคลองสน
“ถ้ามาช่วงดี ๆ พระอาทิตย์ตกท้องฟ้าจะสวยมาก น่าเสียดาย” กุ้งยิ้มแห้งบอกผมด้วยความเสียดายที่เย็นวันนี้ฟ้าปิด ไม่มีแสงสีสวย ๆ ให้เห็น
ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไร ช่วงนี้ฤดูฝน เราเข้าใจถึงสภาพฤดูกาลที่แตกต่าง ที่สำคัญบรรยากาศทั้งหมดที่ได้ซึมซับมาก็สวยงามประทับใจมากแล้ว แน่นอนว่ารวมถึงอาหารอร่อย ๆ ที่ชุมชนเตรียมไว้ให้พวกเราด้วย
แพกลับมาถึงบ้านไม้ชายคลองเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทและท้องของพวกเราอิ่มแปล้ จ๊อด กุ้ง พี่พนา ตั้งโต๊ะเตรียมอาหารของพวกเขาบ้าง และถึงแทบจะไม่สามารถทานอะไรได้อีก แต่เราก็ร่วมวงร่วมโต๊ะกับพวกเขา เพื่อรับประทานรอยยิ้มและมิตรไมตรีเปรียบเหมือนของหวานสำหรับดินเนอร์
เหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อน บ้านญาติ มาหาญาติผู้ใหญ่ เพื่อนของผมยืนยันไว้แบบนี้
เข้านอนอย่างเรียบง่าย
ห้องพักที่บ้านไม้ชายคลองช่างเรียบง่าย เป็นห้องนอนรวมสำหรับห้องละสี่คนหรือมากกว่านั้น มีทั้งหมดสองห้อง สะอาดสะอ้าน พิเศษคือติดแอร์ให้สำหรับคนขี้ร้อน แต่สำหรับช่วงอากาศกำลังดีเหมือนที่เราไป แค่พัดลมเปิดเบอร์หนึ่งส่ายเบา ๆ ก็ทำเอาต้องซุกตัวใต้ผ้าห่มแล้วล่ะ
ธนาคารปูเพื่อความสมบูรณ์
เช้าวันใหม่ท้องฟ้าค่อนข้างสดใส หลังทานมื้อเช้าง่ายๆ ข้าวต้ม ปาท่องโก๋ กาแฟ ขนมหวานนิดหน่อย จ๊อดก็พาเราขึ้นรถกระบะไปบ้านหินกบ จุดขึ้นเรือไปเที่ยวเกาะไข่ เกาะสวยใกล้ฝั่ง แต่ก่อนจะลงเรือเราได้แวะดูกิจการธนาคารปูม้า
“ตั้งแต่เริ่มทำตรงนี้มาก็เห็นผลชัดเจนขึ้นนะ” พี่ช้าง ผู้นำกลุ่มธนาคารปูม้าบ้านหินกบบอกเรา พร้อมชี้แจงขั้นตอนต่าง ๆ ในการเก็บปูไข่ที่ชาวบ้านนำมาขายให้ในแต่ละวัน ตั้งแต่เลี้ยงไว้ในบ่อ รอจนมันพร้อมสลัดไข่ก็แยกออกมาใส่ถังต่างหาก เสร็จแล้วนำไข่ไปปล่อยลงทะเลตรงหน้าชายหาด
“อัตรารอดของลูกปูม้าน้อยอยู่แล้ว แต่เพราะไข่มันเยอะ แม่ปูตัวหนึ่งปล่อยไข่เป็นแสน ๆ รอดสักสองสามเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าโอเค เดี๋ยวนี้ตามโขดหินแถวริมหาดนี่ก็เจอปูไม่น้อยนะ พอทำแบบนี้เราก็เลยมีปูให้จับเรื่อย ๆ ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่จับกันอย่างเดียวมาก” พี่ช้างเล่าเพิ่ม
“แล้วแม่ปูที่สลัดไข่แล้วเราปล่อยมันกลับทะเลด้วยหรือเปล่าครับ” ผมถาม
“มันไม่มีไข่แล้ว เราก็ส่งขายต่อสิ เอาไปกินกันได้เลย” พี่ช้างหัวเราะร่า
ที่ผ่านมาผมเคยคิดเองเออเองมาตลอดว่าธนาคารปูม้าคือการปล่อยแม่ปูที่ใกล้สลัดไข่กลับทะเล แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ นี่สินะคงเป็นชะตากรรมของแม่ปูม้า ก็แหมสัตว์อะไรจะเกิดมาอร่อยล้ำขนาดนี้ (ฮา…)
เกาะสวาทหาดสวรรค์
เรือประมงไม้ลำเล็กพาเราแล่นออกจากฝั่งบ้านหินกบฝ่าแนวคลื่นมุ่งไปยังเกาะเล็ก ๆ เบื้องหน้า พี่พนาบอกว่านั่นคือเกาะไข่ เป็นเกาะซึ่งมีแนวปะการังสวยพอสมควร จุดเด่นคือมีหอยมือเสือเยอะมาก
แนวชายหาดและสันทรายที่เกาะไข่สวยจริงๆ ครับ โชคร้ายหน่อยที่ช่วงนี้น้ำค่อนข้างต่ำ อีกทั้งถึงฟ้าจะเปิดมีแดดแต่คลื่นลมยังค่อนข้างแรง เรือของเราไม่สามารถจอดในจุดที่เหมาะกับการดำสน็อคเกิ้ล ต้องให้เราเข้าฝั่งและว่ายน้ำออกมาเอง ซึ่งคลื่นลมขนาดนี้บอกเลยว่าเหนื่อย
เพราะคลื่นแรงนี่เองทำให้ผมอดเห็นแนวปะการังแบบสวยที่สุดของเกาะไข่ เพราะว่ายยังไงก็ไม่ถึง (ฮา…) แต่หอยมือเสือเยอะจริงครับ และยังเจอดอกไม้ทะเลสองสามกอกับปลาการ์ตูนน่ารักๆ เฝ้าบ้านด้วย
ดำน้ำเล่นสักพักก็ขึ้นมาถ่ายรูปบนชายหาดดีกว่า จนเห็นท่าว่าลมแรงขึ้นเรื่อยๆ พี่พนาจึงพาพวกเรากลับฝั่ง
ทุ่งซาง หาดยาวน่าเที่ยว
รถกระบะคันเดิมพร้อมสารถีคนเดิมพาเราไปถึงอ่าวทุ่งซาง เป็นหาดทรายทอดยาวอยู่ในอำเภอปะทิวนี่แหละ ไม่ไกลจากสนามบิน จ๊อดบอกว่าเป็นหาดที่ทางอำเภอและชุมชนพยายามรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้ให้มากที่สุด และเป็นหาดที่ใครต่อใครก็อยากนำเสนอต่อนักท่องเที่ยวให้รู้ว่า ชุมพรมีมากกว่าหาดทุ่งวัวแล่น หรือหาดทรายรี
ไม่น่าแปลกใจครับ หาดทุ่งซางโค้งทอดยาวหลายกิโลสวยงามมาก หากเดินให้สุดหาดคงลากเลือดไม่ใช่น้อย ขนาดเรามาช่วงฤดูฝนยังสวยและสงบขนาดนี้ ถ้าช่วงแดดดีฟ้าใสไม่มีคลื่นลม รับรองว่าปังแน่นอน
กิจกรรมตามลำคลอง
กลับสู่บ้านไม้ชายคลอง “กลับตอนไหนก็ตามสบายเลยครับ” จ๊อดบอกเรา เพราะฉะนั้นเราจึงขอใช้เวลาแสนสบายที่นี่ให้เต็มที่ ยังไงเสียก็ไม่ได้กลับกรุงเทพทันที คืนนี้ว่าจะแวะนอนตัวเมืองชุมพรอีกสักคืน
คายัค หรือแพดเดิ้ล บอร์ด มีให้พร้อมอยู่แล้ว แค่ปล่อยลงคลองแล้วเล่นได้เลยไม่มีค่าใช้จ่ายใดเพิ่มเติม ผมเลือกคายัค เพื่อนเลือกเล่นบอร์ด พายวนไปวนมาอยู่ในลำคลองเรียกเหงื่อจนสาแก่ใจ เป็นช่วงที่เวลาที่ขอใช้คำว่าสนุกฟินมาก ๆ
พวกเราอาบน้ำอาบท่า เก็บของ โบกมืออำลาโฮมสเตย์บ้านไม้ชายคลอง ชุมชนบางสน ด้วยความอาลัย เพราะบรรยากาศ ความสบาย รอยยิ้มที่ได้รับ ให้อยู่ต่ออีกสักสองสามคืนคงยังไม่พอด้วยซ้ำ
แต่นั่นแหละครับการเดินทางของเราต้องดำเนินต่อไป ยังมีอีกหนึ่งจุดหมายที่เราต้องการไป แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของอำเภอปะทิว สามารถเดินทางไปได้ด้วยตัวเอง
เขาดินสอ วิว 360 องศา
เขาดินสอเป็นจุดชมเหยี่ยวอพยพขึ้นชื่อระดับประเทศ ถึงฤดูนี้จะไม่มีเหยี่ยวแต่ก็ขึ้นไปชมวิวได้ รถยนต์ขับขึ้นถึงลาดจอดรถ จากนั้นเดินอีก 900 เมตร ถึงยอดเขา เส้นทางศึกษาธรรมชาติอย่างดี ความยากไม่ถือว่าโหดสักเท่าไหร่ ช่วงชันมากมีบ้างแต่ไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นทางชันน้อยๆ สลับกับทางราบยาว ๆ เดินไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ระหว่างทางมีจุดชมวิวเป็นระยะ
ที่นี่เปิดให้เที่ยวทุกวันครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ขึ้นได้ตั้งแต่หกโมงเช้า และหกโมงเย็นก็ควรลงมาได้แล้ว วิวด้านบน 360 องศาจริง ๆ (ถึงจะมีต้นไม้สูงบังบางช่วงก็เถอะ) เห็นทั้งฝั่งทะเล เรือกสวนสีเขียว และป่าไม้ ไกลลิบสุดสวยตา
เขาดินสอคือจุดสุดท้ายของการสัมผัสกิจกรรมท่องเที่ยวของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนบางสนในครั้งนี้ แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ สองวันหนึ่งคืน แต่ก็บอกได้เลยว่าประทับใจระดับสิบ ได้พักผ่อนกับบรรยากาศแสนเรียบง่าย สนุกกับกิจกรรมมากมาย อิ่มอร่อยกับอาหารจากท้องถิ่น ได้พบเห็นสถานที่สวย ๆ มากมาย แต่สำคัญที่สุดคือเราได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านที่นี่พยายามอย่างมากที่จะรักษาสิ่งดี ๆ ที่พวกเขามี และอยากถ่ายทอดเผยแพร่ให้ผู้มาเยือนที่มาสัมผัสได้รู้สึกแบบเดียวกัน
เที่ยวชุมชนใครว่าไม่สนุก ผมยกมือขาดใจครับ ใครพูดแบบนั้นแสดงว่ายังไม่ได้ลองเที่ยวกับชุมชน เชื่อผมสิ
ทั้งนี้การท่องเที่ยวกับชุมชนบางสนในโครงการ One Night Stay With Locals มีแพ็คเกจทั้งหมดสามราคา คือ 1,400 บาท / 1,890 บาท (มีดำน้ำเกาะไข่) / 2,200 บาท (มีดำน้ำเกาะร้านเป็ดร้านไก่) เป็นราคาต่อคน หากเดินทาง 5 คน ขึ้นไปราคาจะถูกลง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อแพ็คเกจที่ >>> www.1nightstaywithlocals.com
ติดต่อชุมชน >>> www.facebook.com/homestaybangson
หรือโทร. 080-7791650 คุณสมโชค
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
www.facebook.com/alifeatraveller